อาชีพของเนย์มาร์น่าผิดหวังจริงหรือ? บางทีนี่อาจไม่ใช่ปัญหาของเขา

ปราศจากบัลลงดอร์ ปราศจากแชมป์ฟุตบอลโลก ปราศจากการเป็น "คนนั้น" และย้ายออกจากลีกหลักของยุโรปตั้งแต่อายุ 31 ปี อาชีพค้าแข้งของเนย์มาร์ล้มเหลวจริงหรือ? Nick Miller จาก The Athletic มองว่า หากอาชีพของเนย์มาร์น่าผิดหวัง บางทีปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา แต่อยู่ที่ตัวเราเอง

บ่อยครั้งที่นักเตะยิงประตูจากลูกเตะมุมโดยตรงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นตั้งแต่แรก การเตะมุมให้เข้าไปในพื้นที่ที่เหมาะสมย่อมสร้างความวุ่นวายในกรอบเขตโทษฝ่ายตรงข้าม และหากบอลลอยเข้าประตูไปอย่างเหลือเชื่อก็ถือเป็นเรื่องดี แต่การบอกว่าคนเตะมุมเล็งไปที่มุมประตูโดยตรงนั้นดูจะเกินจริงไปหน่อย

เช่นเดียวกับกรณีของเนย์มาร์

ดาวยิงชาวบราซิลเจ้าของสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลก กลับมาสู่สโมสรซานโตสทีมในวัยเด็ก หลังจากช่วงเวลาที่ยากลำบากในซาอุดิอาระเบีย การกลับมาบ้านเกิดทำให้เขายังคงได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม และฟอร์มการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจในสนามก็ยังคงทำให้แฟนๆ ส่งเสียงเชียร์ดังสนั่น

ในเกมแชมป์เปี้ยนชิพรัฐเซาเปาโลกับอินเตอร์ เดอ ลิเมย์รา เนย์มาร์ยิงประตูจากลูกเตะมุมโดยตรง สร้างความคลั่งไคล้ให้กับแฟนๆ อย่างสุดขีด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยิ่งตอกย้ำความผิดหวังของบางคนที่ยังคงเคลือบแคลงใจในการตัดสินใจของเขา

สำหรับคนเหล่านี้ การกลับมาซานโตสของเนย์มาร์ไม่ใช่ "การกลับบ้านอย่างสมเกียรติ" แต่เป็นสัญลักษณ์ของความผิดหวัง เป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยันถึงอาชีพที่น่าผิดหวังของเขา ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นล้มเหลวก็ตาม

การมองเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล เพราะมองย้อนกลับไปในอาชีพของเนย์มาร์ หลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ เขาไม่เคยได้บัลลงดอร์ ไม่เคยได้แชมป์ฟุตบอลโลก แชมป์โคปา อเมริกาครั้งแรกของบราซิลหลังจากที่เขาติดทีมชาติ ก็เกิดขึ้นในขณะที่เขาได้รับบาดเจ็บ ในวัย 31 ปี เขาสามารถเล่นในลีกสูงสุดได้อีกหลายปี แต่กลับเลือกไปซาอุดิอาระเบีย

แต่การสรุปว่าอาชีพของเนย์มาร์ "ล้มเหลว" ดูจะไม่ยุติธรรมนัก หากอาชีพของเขาน่าผิดหวัง นั่นเป็นเพราะความคาดหวังที่มากเกินไปของผู้คน ไม่ใช่ตัวเขาเอง

เนย์มาร์ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ภายใต้แรงกดดันจากความคาดหวังมหาศาล เขาเดบิวต์กับทีมชุดใหญ่ของซานโตสในปี 2009 ตอนอายุ 17 ปี และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการอยู่ภายใต้แสงไฟ

เขาไปทดสอบฝีเท้ากับเรอัล มาดริด และได้รับคำชมจากซีเนอดีน ซีดาน พ่อของเขาเริ่มสร้างอาณาจักรธุรกิจ จัดการสัญญาต่างๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากภาพลักษณ์ของเนย์มาร์ และนั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกคู่นี้ในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบพ่อลูกทั่วไป เด็กๆ รอบตัวเขามักจะถามเบาๆ ว่า "นายเก่งกว่าเมสซี่จริงเหรอ?"

หลังจากแจ้งเกิด เนย์มาร์กลายเป็นความหวังใหม่ของฟุตบอลบราซิลทันที แม้ว่าเขาจะอายุไม่ถึง 18 ปี แต่เปเล่ก็สนับสนุนให้ดุงก้าเรียกเขาติดทีมชาติไปเล่นฟุตบอลโลก 2010

ในปี 2011 เนย์มาร์ยิงประตูสุดสวยช่วยให้ซานโตสเอาชนะฟลาเมงโก การแสดงทักษะอันน่าทึ่งครั้งนั้นทำให้ทั้งโลกได้รู้จักความสามารถของเขา และทำให้เขาได้รับรางวัลปุสกัส ในปีเดียวกันนั้น เขาพาทีมคว้าแชมป์โกปา ลิเบอร์ตาดอเรส ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ซานโตสคว้าแชมป์รายการนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งเปเล่ นับตั้งแต่ยุค 1960

ในช่วงไม่กี่ปีต่อมา เนย์มาร์ตกเป็นข่าวเรื่องการย้ายทีมอย่างต่อเนื่อง ผู้คนคาดเดาอนาคตของเขา คาดเดาว่าเขาจะไปเล่นให้กับสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปเมื่อไหร่ ฝันว่าเขาจะพาทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 ในบ้านเกิด และกลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของฟุตบอลบราซิล

บางทีเราอาจลืมไปแล้วว่าในฟุตบอลโลก 2014 เนย์มาร์ได้รับความนิยมและอยู่ในบรรยากาศที่ร้อนแรงขนาดไหน แม้ว่าเขาจะอายุเพียง 22 ปี แต่บราซิล มหาอำนาจลูกหนังโลก ได้มอบภาระอันหนักอึ้งในการนำทีมคว้าแชมป์ในบ้านเกิดไว้บนบ่าของเขาเพียงคนเดียว

เมื่อเนย์มาร์ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังจากการโดนเข่าของฮวน ซูนิกา กองหลังโคลอมเบียจนต้องพัก เพื่อนร่วมทีมถือเสื้อของเขาเพื่อเป็นเกียรติ ราวกับว่าเขาไม่ได้พักเพราะบาดเจ็บ แต่เป็นการอำลาตลอดกาล อาชีพของเนย์มาร์ยังคงดำเนินต่อไป แต่ดูเหมือนว่าในฟุตบอลโลกครั้งนั้น หากไม่มีเนย์มาร์ ความฝันของบราซิลก็ดับวูบลง

หลังจากนั้น สิ่งต่างๆ ดูเหมือนจะง่ายขึ้น

ผู้คนคาดหวังเพียงแค่ให้เนย์มาร์เป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก ตอนที่เล่นให้บาร์เซโลนา ผู้คนหวังว่าเขาจะเทียบเท่าเมสซี่ ตอนที่เล่นให้ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ผู้คนหวังว่าเขาจะพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกสมัยแรก

น่าเสียดายที่เนย์มาร์กลับกลายเป็นเหมือน "แสงสว่าง" ในช่วงเวลาที่ตกต่ำของฟุตบอลบราซิล จึงถูกสร้างให้เป็นสัญลักษณ์ที่แบกรับความหวังทั้งหมดของฟุตบอลบราซิล

ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เขาที่ไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้เหมือนรุ่นพี่ แต่ความคิดเช่นนั้นช่างโง่เขลาสิ้นดี

หากในปี 2022 เลาตาโร มาร์ติเนซ, กอนซาโล มอนเทียล และเปาโล ดีบาลา พลาดจุดโทษ มุมมองของผู้คนที่มีต่อเมสซี่จะยังคงเหมือนเดิมหรือไม่? การที่เมสซี่พาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ ทำให้อาชีพของเขาน่าพอใจและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น แต่ถึงแม้เขาจะทำไม่ได้ เขาก็ยังคงเป็นนักเตะระดับตำนานที่กำหนดนิยามของยุคสมัยได้ เช่นเดียวกับคริสเตียโน โรนัลโด, โยฮัน ครัฟฟ์ และอัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก แต่พวกเขาก็ยังคงยิ่งใหญ่

หากการนิยามความยิ่งใหญ่ของนักเตะขึ้นอยู่กับจำนวนถ้วยรางวัล เนย์มาร์ก็มีผลงานที่น่าประทับใจ เขาคว้าแชมป์ลีกใน 4 ประเทศ แชมป์โกปา ลิเบอร์ตาดอเรส, แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และเหรียญทองโอลิมปิก นอกจากนี้ เขายังเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติบราซิล แซงหน้าตำนานอย่างเปเล่, โรนัลโด, วาวา, การ์รินชา และโรนัลดินโญ

แน่นอนว่ายังมีบางสิ่งที่วัดผลได้ยาก แฟนบอลที่ไม่ชอบเนย์มาร์จะพูดถึงการพุ่งล้ม ทัศนคติที่ดูเป็นเด็กๆ และทรงผมที่แปลกตาของเขา แต่หากคุณดูเนย์มาร์เล่นแล้วไม่รู้สึกถึงความสุขของฟุตบอล หรือทำให้คุณนึกถึงความฝันฟุตบอลในวัยเด็ก นั่นอาจเป็นเพราะอารมณ์ส่วนตัวของคุณบดบังการตัดสินใจที่ถูกต้อง

เนย์มาร์สร้างความคาดหวังมหาศาลให้กับทุกคนด้วยผลงานในสนาม คำพูดที่หยิ่งผยองของเขาก็ยิ่งทำให้ผู้คนคาดหวังมากขึ้น เช่น ตอนที่ย้ายจากบาร์เซโลนาไปปารีส แซงต์-แชร์กแมงในปี 2017 เขาประกาศชัดเจนว่าต้องการเป็น "คนนั้น" ไม่ใช่ "คนข้างๆ คนนั้น" เขาเคยตั้งเป้าหมายไว้มากมายที่ยังไม่สำเร็จ แต่การบาดเจ็บ เรื่องอื้อฉาว และการตัดสินใจที่ผิดพลาดเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม การตัดสินเนย์มาร์ด้วยมาตรฐานเหล่านี้อย่างเคร่งครัด เป็นการมองข้ามสิ่งอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในอาชีพและชีวิตของเขา ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาลงสนาม ผู้คนหวังให้เขากลายเป็นเทพเจ้าแห่งฟุตบอลบราซิล แต่สุดท้ายแล้ว เขาเป็นแค่มนุษย์ที่มีพรสวรรค์ ไม่ใช่เทพเจ้า

หากสิ่งนี้ถือเป็นความผิดหวัง บางทีปัญหาอาจอยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่เนย์มาร์