โรนัลโดเผยความในใจ: หากเป็นไปได้ อยากเล่นให้ทีมชาติโปรตุเกสเท่านั้น

แม้ในวัย 40 ปี คริสเตียโน โรนัลโด ยังคงพิสูจน์ให้เห็นว่าความหลงใหลและแรงทะเยอทะยานในโลกลูกหนังของเขายังคงแรงกล้าไม่เสื่อมคลาย แต่ล่าสุด ตำนานชาวโปรตุกีสได้ออกมาเปิดใจอย่างน่าประหลาดใจว่า เขายินดีที่จะสละการเล่นฟุตบอลในระดับสโมสร หากนั่นหมายถึงการได้ลงเล่นให้กับทีมชาติโปรตุเกสเพียงอย่างเดียว

คำกล่าวของโรนัลโดเกี่ยวกับอนาคตของเขา

ภายในงานกาลาของสมาคมฟุตบอลโปรตุเกส CR7 ได้กล่าวถ้อยแถลงที่กินใจจนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว

"หากผมสามารถทำได้ ผมจะเลือกเล่นให้ทีมชาติเท่านั้น และจะไม่เล่นให้กับสโมสรอื่นใดอีก" กัปตันทีม "ฝอยทอง" กล่าว ท่ามกลางเสียงปรบมือดังกึกก้องและผู้ร่วมงานต่างลุกขึ้นยืนให้เกียรติ

เมื่อเร็วๆ นี้ โรนัลโดเพิ่งพาทีมชาติโปรตุเกสคว้าแชมป์ยูฟ่าเนชันส์ลีก และยังคงเป็นกำลังสำคัญในเส้นทางการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โดยปัจจุบันทีมรั้งจ่าฝูงของกลุ่ม F มี 6 คะแนนเต็มจาก 2 นัด และมีผลต่างประตูได้เสีย +6 (ยิง 8 เสีย 2) ซึ่ง 3 ประตูมาจากดาวเตะหมายเลข 7 ผู้นี้

โรเบร์โต มาร์ติเนซ กล่าวยกย่องกัปตันทีม

โรเบร์โต มาร์ติเนซ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติโปรตุเกส ได้กล่าวในงานเดียวกัน โดยเน้นย้ำถึงอิทธิพลของโรนัลโดทั้งในและนอกสนาม

"คริสเตียโนมีบทบาทสำคัญในการตัดสินเกม เขาเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ของทีมเนื่องจากประสบการณ์ของเขา" มาร์ติเนซกล่าว

เหตุใดโรนัลโดจึงไม่สามารถเล่นให้โปรตุเกสเพียงอย่างเดียวได้

แม้แนวคิดนี้จะสร้างแรงบันดาลใจ แต่ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงภายใต้กฎของฟีฟ่า (FIFA) ตามข้อบังคับขององค์กรระบุว่า ผู้เล่นทุกคนที่จะมีสิทธิ์ลงเล่นในนามทีมชาติ จะต้องมีสัญญาการเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ยังมีผลบังคับใช้กับสโมสร หากไม่มีสัญญาดังกล่าว พวกเขาจะไม่สามารถลงแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติอย่างเป็นทางการได้

ในทางทฤษฎี โรนัลโดอาจเซ็นสัญญาเชิงสัญลักษณ์โดยไม่ต้องลงเล่น แต่การทำเช่นนั้นจะส่งผลกระทบทางการเงินอย่างมหาศาล ปัจจุบันเขามีรายได้มากกว่า 200 ล้านยูโรต่อปีกับสโมสรอัล-นาสเซอร์ และจากรายงานของ Forbes เขากลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน 2025 ด้วยค่าเหนื่อยระดับสถิติและข้อตกลงจากผู้สนับสนุนมากมาย

ในเวลานี้ คริสเตียโน โรนัลโด จะยังคงสร้างความสุขให้แฟนบอลในซาอุดีอาระเบียต่อไป พร้อมกับนำโปรตุเกสมุ่งหน้าสู่ฟุตบอลโลกอีกครั้ง แต่คำพูดของเขาได้เผยให้เห็นความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นว่า ในช่วงปลายของอาชีพค้าแข้งอันเป็นตำนาน แรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ไม่ใช่เรื่องเงินทองหรือสถิติอีกต่อไป แต่เป็นเกียรติยศในการสวมเสื้อทีมชาติของเขาอีกครั้ง