แตกแยกหนัก! "สิงโตคำราม" ยุคทองล้มเหลว เพราะ "ลิเวอร์พูล-แมนยูฯ" แบ่งโต๊ะกินข้าว - โค้ชไร้อำนาจคุมสตาร์

เดลี เมล (Daily Mail) สื่ออังกฤษได้ตีพิมพ์บทความที่สนับสนุนคำวิจารณ์อันเผ็ดร้อนของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่เรียกทีมชาติอังกฤษ "ยุคทอง" ว่าเป็นพวก "ผู้แพ้ที่หยิ่งผยอง" และเปิดเผยถึงปัญหาความแตกแยกและความวุ่นวายภายในทีมที่นำไปสู่ความล้มเหลวใน ฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมนี

บทความระบุว่า ประวัติศาสตร์อันล้มเหลวในอดีตนี้ได้กลายเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับ แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือคนปัจจุบัน ในการจัดการกับปัญหาภายในทีม

ปัญหาความแตกแยกที่หยั่งรากลึก:
ปัญหาการแบ่งพรรคแบ่งพวกในทีมชาติอังกฤษยุคนั้นเป็นเรื่องร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างผู้เล่นจาก ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เจอร์ราร์ด ยอมรับว่าผู้เล่นทั้งสองสโมสรถึงขั้น แยกโต๊ะรับประทานอาหาร และ แยกกันนั่งบนรถบัส ของทีมอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนถึงรอยร้าวที่ฝังลึก

นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ความวุ่นวายอื่น ๆ เช่น กลุ่มภรรยาและแฟนสาว (WAGs) พักอยู่โรงแรมเดียวกับสื่อมวลชน และมี "การโต้เถียงที่ดุเดือด" เกิดขึ้นแทบทุกคืนในบาร์ของโรงแรม จนอดีตผู้รักษาประตู พอล โรบินสัน ถึงกับกล่าวว่าสถานการณ์ในตอนนั้น "มันผิดไปหมดทุกอย่าง"

ปัญหาการจัดการของโค้ช:
มีการเปิดเผยรายละเอียดเบื้องลึกว่า ผู้เล่นบางคนไม่พอใจที่ เดวิด เบ็คแฮม กัปตันทีม ได้รับอนุญาตให้ เลือกห้องพักที่ดีที่สุดของโรงแรม และมีการร้องเรียนเรื่องนี้ต่อโค้ช สเวน-โกรัน อีริคส์สัน ในขณะนั้น

สื่ออังกฤษมองว่า อีริคส์สัน เป็นคน "น่ารัก" แต่เขา อ่อนแอเกินไป และ ไม่สามารถควบคุมความยโส ของเหล่านักเตะซูเปอร์สตาร์ภายในทีมได้ จนทำให้ผลงานของทีมชาติไม่ประสบความสำเร็จ

บทเรียนถึงปัจจุบัน:
บทความยกย่อง แกเร็ธ เซาธ์เกต ว่าเป็นผู้ที่สร้าง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในทีมได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการทำลาย "วัฒนธรรมแบ่งแยก" ที่เป็นปัญหามายาวนาน และนำพา "สิงโตคำราม" ประสบความสำเร็จในช่วงหลายปีหลัง

สื่อจึงมองว่า การตัดสินใจของ เซาธ์เกต ที่ ตัดชื่อ จู๊ด เบลลิงแฮม ออกจากทีมชาติในการเรียกตัวรอบล่าสุด เป็นการกระทำที่ "ชาญฉลาด" และเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต

มีรายงานว่าหลายคนมองว่า เบลลิงแฮม อาจส่งผลด้านลบต่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของทีม (Team Unity) และ เซาธ์เกต กำลังทำในสิ่งที่ อีริคส์สัน ไม่กล้าทำ นั่นคือ ยอมเสียผู้เล่นคนสำคัญเพื่อรักษาจิตวิญญาณของทีม

สื่อได้อ้างอิงคำพูดของ เซาธ์เกต ที่สนับสนุนแนวคิดนี้ว่า "ทัศนคติก่อนเกม หลังเกม และระหว่างเกม (ในการเก็บตัวครั้งก่อน) คือสิ่งที่เราต้องการ แล้วทำไมผมต้องเสี่ยงเปลี่ยนแปลงมันด้วย?"