​เคยโดนดูถูกว่าไม่เก่งพอ… วันนี้ดุมฟรีส์คือความหวังของอินเตอร์ในนัดชิง UCL

จากเด็กที่โดนหัวเราะเยาะในย่านสโมสรเล็กๆ อย่าง Smitshoek วันนี้ชื่อของ เดนเซล ดุมฟรีส์ กลายเป็นหนึ่งในวิงแบ็คระดับท็อปของโลก และเตรียมจารึกหน้าประวัติศาสตร์ให้ตัวเองอีกครั้ง ด้วยการลงเล่น รอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งที่ 2 กับ อินเตอร์ มิลาน

“พวกเขาหัวเราะในหน้าผมตอนผมบอกว่าจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ” ดุมฟรีส์ย้อนไปถึงวัยเด็ก “ตอนนั้นผมรู้แค่ว่าฟุตบอลคือชีวิตของผม ผมจะทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น”

และเขาก็ทำได้จริง พร้อมเพิ่มเลเวลเกินฝัน ด้วยดีกรีแชมป์หลายรายการกับอินเตอร์ มิลาน และการเป็นตัวหลักทีมชาติเนเธอร์แลนด์ แต่ที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือ เส้นทางของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ฤดูกาลนี้ อินเตอร์ต้องฝ่าความยากลำบากในช่วงปลายเดือนเมษายน แพ้ 3 เกมรวด และดุมฟรีส์เองยังได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อหลังต้นขา จนต้องพักยาวร่วมเดือน ก่อนจะกลับมาในเกมสำคัญอย่างรอบรองฯ แชมเปี้ยนส์ ลีกกับบาร์เซโลนา

และเขาก็เปลี่ยนทุกอย่างได้ด้วยสองประตูหนึ่งแอสซิสต์ในเกมบุกเสมอบาร์ซ่า 3-3 ถึงคัมป์นู จนแฟนบอลเริ่มพูดถึงชื่อของเขาในลิสต์บัลลงดอร์

“มันเป็นช่วงเวลาที่โคตรยาก” ดุมฟรีส์กล่าว “ดูเพื่อนเล่น แล้วทีมแพ้ ผมรู้สึกแย่มาก… พอกลับมา ผมโคตรกระหาย ผมแค่อยากลงไปช่วยเพื่อน ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไรบางอย่างให้ได้”

แม้เขาจะปฏิเสธเรื่องการลุ้นบัลลงดอร์ โดยบอกว่า “ยังต้องทำอีกเยอะ” แต่ผลงานของเขาก็ยากจะมองข้าม โดยเฉพาะกับการเป็นตัวตัดสินในเกมใหญ่ระดับนี้

คู่ต่อกรในนัดชิงที่รออยู่คือ ควิช่า ควารัตสเคเลีย ดาวเตะจอร์เจียจากเปแอสเช ซึ่งทั้งคู่เคยเผชิญหน้ากันมาแล้ว 5 ครั้งในเซเรีย อา โดยดุมฟรีส์ยังไม่เคยปล่อยให้เขาทำประตูได้เลย

“เขาเร็ว แข็งแรง และเทคนิคเยี่ยม เป็นคู่แข่งที่โหดมาก” ดุมฟรีส์ยอมรับ “แต่รอบชิงมันไม่มีสถิติหรอก มันอยู่ที่วันนั้นใครแน่กว่ากัน”

จากเด็กชายที่ถูกปรามาสว่าไม่มีทางเป็นนักเตะอาชีพ วันนี้ เดนเซล ดุมฟรีส์ ยืนอยู่ในจุดที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่กล้าคาดฝัน และมีโอกาสจารึกชื่ออีกครั้งในหน้าประวัติศาสตร์ถ้วยยุโรป

หากคืนนี้เขาลงสนามแล้วหยุดควารัตสเคเลียได้อีกครั้ง เราอาจต้องเปลี่ยนคำว่า “วิงแบ็คธรรมดา” ไปเป็น “ตำนานตัวจริง”